เราจะข้ามฟ้ามา… เชียงใหม่ไปฉางซา 3 แอร์เอเชีย

3. ลม ลม ลม มันยังไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหนเลย

<- นี่คือชื่อตอนอีกเช่นกัน ฉันและเธอ ตอนนี้เราต่างเป็นดั่งลม…

เป็นไปดังคาดที่ว่าจะออกเดินทางไปจางเจี่ยเจี้ยกัน 7 โมง ถึงเวลา 8 โมงกว่าแล้วยังเพิ่งจะตื่นกันอยู่เลย ออกเดินเพื่อไปขึ้นรถเมลสาย 2 ที่วิ่งผ่านหน้าที่พัก แวะซื้อกาแฟ, น้ำและขนมเอาไว้เป็นมื้อกลางวันเพราะคนไทย 2 คนเมื่อวานบอกว่าอาหารบนเขานั้นแพงเราก็เชื่อ กว่าจะถึงหน้าทางเข้าก็ 9 โมงกว่า มหาชนกรุ๊ปทัวร์เยอะมากๆ ไม่เคยไปอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวไหนที่คนเยอะขนาดนี้

IMG_20160729_082541
ยามเช้ามีขบวนแห่โปรโมทอะไรสักอย่าง
IMG_20160729_082732
ซื้อเสบียง
IMG_20160729_084120
รถเมล์สาย 2

เรามองหาที่ซื้อตั๋ว เดินๆ ไปต่อแถวซื้อมา 2 คน ราคา 296 หยวน พันกว่าบาทแน่ะ แต่เข้าได้ 3 วันนะ มีการบันทึกลายนิ้วมือของเราเอาไว้ตอนผ่านประตู เข้าไปก็ยังยืนงงๆ อยู่ว่ามันต้องนั่งรถอะไรไปไหนต่อ คณะทัวร์ก็เข้าแถวเรียงรายกันเยอะมาก เพราะจางเจี่ยเจี้ยเนี่ยมันโคตรกว้างมากครับมีบัตรแบบ 3 วันกับ 7 วันน่ะ ถึงจะเที่ยวหมด มีทางขึ้นเขาแบบนั่งกระเช้ากับขึ้นลิฟท์ แล้วก็มีเที่ยวเดินป่าด้านล่างด้วยอะไรไม่รู้เยอะแยะ จนตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าเรามาที่นี่ มาดูอะไรกันแล้วแต่เธอ เธอบอกว่ามามะ มาทางนี้รถคันนี้จะพาไปขึ้นกระเช้า

IMG_20160729_090600
บนรถที่จะพาไปขึ้นกระเช้า
IMG_20160729_092308
ที่ขายตั๋ว
IMG_20160729_092155
ทางขึ้นกระเช้า

มาถึงจุดจอดกระเช้าซึ่งแตกต่างจากในชิงช้าสวรรค์ที่เคยขึ้นมากเพราะนี่มันเป็นเคเบิ้ลคาร์สูงนรกแตก คือฉันเป็นคนกลัวความสูงอย่างหนัก จ้าา จะให้ทำยังไงล่ะก็ต้องไปสิ เป็นการขึ้นเคเบิ้ลคาร์ ลอยฟ้าแบบนี้ครั้งแรกในชีวิต ไอ้ตอนที่มันกำลังปล่อยตัวออกมานี่คือ แบบชิบหายแน่ๆ ดีนะท่องชินบัญชรได้ตั้งแต่เด็ก ละมันก็ค่อยๆ ลอยขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ สูงมาก ต้องทำตัวเข้มแข็งไว้เพราะเกิดเป็นผู้ชายต้องมีใจอดทน คือค่าตั๋วนี่ 2 คน 284 หยวนเลยนะ ทำไมต้องเสียเงินเยอะขนาดนี้มาทำร้ายสภาพจิตตัวเองด้วย นั่งขึ้นมาก็คิดว่าตอนมันสร้างนั่น มันสร้างกันยังไงหว่า 10 กว่านาทีผ่านไปก็กลั้นใจจนมันขึ้นมาถึงยอด

IMG_20160729_094320
บนกระเช้า

จำได้ว่าที่คุยกับน้องคนไทย 2 คนเมื่อวานแกบอกกันว่ามันมีทางเดินลงแต่เดินนานหน่อยกับอีกทางคือนั่งลิฟท์ลง ซึ่งลิฟท์ก็เป็นลิฟท์แก้วมองเห็นข้างนอกฉันเลยถามเธอว่า เธอจะเดินกับฉันไหม เธอโอเค งั้นป่ะเราไปกันจะพาฉันไปไหนพาไปเลย

IMG_20160729_095440
คุณลุงคุณป้าผู้มากับกระเช้า

จากจุดที่ลงเคเบิ้ลคาร์ เรานั่งรถต่อไปเที่ยวจุดแรกใกล้ๆ เป็นสวนนายพลเฮ่อหลง … ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ รู้แต่มีรูปปั้นแกตั้งตระหง่านคนเยอะมากมาย ได้ยินคนแถวนั้นอธิบายว่านายพลเฮ่อหลงเป็นคนสนิทกับเหมาเจ๋อตงนั่นล่ะ บริเวณนี้ก็เป็นสวนสาธารณะให้เดินวนๆ ไป ถ่ายรูปเล่นกับวิว มีต้นม้งต้นไม้ มีจุดขายอาหาร ทุกจุดมีคนจีนเยอะมาก บริเวณที่วิวสวยๆ ก็จะมีคนแออัดเป็นพิเศษซึ่งถ้าหวังจะได้ถ่ายวิวสวยๆ ก็ยากแน่ๆ เลยมีการบริการถ่ายภาพและพิมพ์รูปให้ตรงนั้นเลย โดยเขาจะถ่ายรูปเราละเอาไปตัดต่อกับภาพวิว ><” ค่อนข้างสับสนกับคนแถวนี้ แต่ก็มีคนใช้บริการเยอะอยู่นะ เราเดินวนไปวนมาตรงสวนนี้สักครึ่งชม. และแวะพักกินเสบียงที่เตรียมมาก่อนจะเดินทางไปจุดต่อไป

IMG_20160729_100951
อนุเสาวรีย์นายพลเฮ่อหลง
IMG_20160729_101500
จุดพิมพ์ภาพถ่ายและรีทัช
IMG_20160729_102603
ป้ายบอกจุดที่น่าสนใจ

เราขึ้นรถต่อมาลงตรงจุดหนึ่งที่น่าจะเป็นแลนด์มาร์คใหญ่เหมือนกันบนเขานี้ มีจุดบริการนักท่องเที่ยวมีร้านอาหารเยอะมาก มี McDonald’s ด้วย เราก็เดินเล่นกันแถวนี้ มีหมู่บ้านชนเผ่าโบราณที่ต้องเสียค่าบัตรเข้าไปดู เราจึงไม่เข้า 555 ข้างๆ มีเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องเงินเลยเข้าไปดู ก็มีชุดชนเผ่าพร้อมเครื่องเงิน มีมุมสาธิตการผลิตเครื่องเงิน เดินไปเรื่อยๆ ก็มาพบกับจุดขายเครื่องเงินนั่นเอง ตามวิธีการขายของแบบจีน มีการแสดงมีสาธิตที่มาที่ไปให้เห็นแล้วก็มาขายของตอนท้าย ซึ่งขายเราไม่ได้แน่ๆ เพราะไม่มีเงิน เดินออกมาจากหมู่บ้านนั้นก็มาเจอะเจอเส้นทางเดินชมทิวทัศน์อันกว้างขวางของภูเขาหินทรายก่อนจะออกเดินกันเราแวะเติมอาหารกันอีกนิดหน่อย มีอะไรสักอย่างหน้าตาคล้ายๆ พิซซ่า กินเข้าไปก็จืดๆ มันๆ แปลกๆ


IMG_20160729_111111
ตามมาถึงบนเขา
IMG_20160729_122325
ทางเข้าหมู่บ้านชนเผ่า
IMG_20160729_123209
บ้านชนเผ่าที่มีพิพิธภัณฑ์เครื่องเงิน มีอยู่ทั่วไปกับจุดให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป
IMG_20160729_123834
จุดสาธิตการทำเครื่องเงิน
IMG_20160729_123348
กรุเครื่องเงินในไห ไม่รู้ฝังมานานหรือฝังกันใหม่
IMG_20160729_130029
หน้าตาคล้ายๆ พิซซ่า

หลังทานอาหารว่างกันเสร็จเรา 2 คนก็ตัดสินใจออกเดินตามเส้นทางเที่ยวชมเหล่าภูเขาหินทราย ซึ่งร่ำลือกันว่าเหมือนฉากในภาพยนตร์ อวตาร เป็นเขาหินทรายจำนวนมาก ว่ากันว่าเกิดจากการกัดเซาะของน้ำบ้างลมบ้าง ตั้งสูงเรียงรายกันไป ในแต่ละจุดจะมีชื่อเรียกเป็นของตัวเอง ตามแผนที่ที่ดูไม่ค่อยรู้เรื่องก็พบชื่อเป็นลักษณะ ภูเขา 5 สาวน้อย, นกยูงรำแพนหาง, พังพอนกับงู, เต่ามุดอุโมงค์ อะไรพวกนี้ คือดูๆ ไปยังไงหน้าตามันก็เหมือนกันหมดเลย เลยแยกไม่ออกอะไรงู อะไรนกยูง

IMG_20160729_102720
มีเขาหินทรายอย่างนี้ รวมๆ แล้วน่าจะหลายร้อยยอด
IMG_20160729_103159
แต่ละจุดก็จะมีชื่อไปตามลักษณะหรือจำนวนของเขาหิน

เดินไปตามเส้นทาง ไม่ต้องกลัวเหงาเพราะคณะทัวร์จีนมหาศาลไปทั่วทุกจุด บางจุดบอกจะเข้าเขตที่มีฝูงลิงอาศัยอยู่ เดินเลยมาอีกพบจุดที่มีราวบันไดสีแดงชื่อว่าอะไรก็จำไม่ได้เสียด้วย มีธงทิวคล้ายริบบิ้นสีแดง มีข้อความมงคลให้เราซื้อไปผูกไว้กับราวบันไดด้วย มีพวงกุญแจคล้ายๆ ที่เกาหลีด้วยนะ แน่นอน เรา 2 คนไม่ได้ซื้อ ในทุกๆ จุดที่ทิวทัศน์สวยงามก็จะมีคนไปรุมกันเยอะๆ แล้วก็จะมีช่างภาพบริการถ่ายภาพให้พร้อมรีทัชตัวเรากับฉากหลัง โดยไม่มีใครยืนบัง

IMG_20160729_135734
มีจุดที่จะเจอฝูงลิงอาศัยอยู่แลดูไม่กลัวคน
IMG_20160729_104433
ต้นสนสวย
IMG_20160729_133217
บันไดแดง
IMG_20160729_133726
ริบบิ้นนำโชค
IMG_20160729_141116
ช่างภาพ

เดินเลยจากจุดบันไดแดงๆ ออกมาจะพบกับแลนด์มาร์คสำคัญในละแวกนึ้ชื่ออลังการมาก “First Bridge of the World” คือเป็นเหมือนสะพานหินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ณ จุดที่เราเดินๆ กันอยู่นี้ สูงมากๆ มองลงไปนี่คือ ขาสั่นไปหมด แล้วยังมาเจอสะพานเหล็กให้เดินข้ามแต่มีรูมองเห็นข้างล่างชัดเจน แทบจะลงไปคลานเข่าแล้วหลับตาเอา ทางเดินค่อยเลาะหน้าผาและทางลงต่ำ จนเจอะกับจุดที่บอกว่ามีเต่า ละก็มีเต่าจริงๆ มีทั้งเต่าหินและเต่าจริง คนก็โยนเหรียญกันลงไป

เดินมาเรื่อยๆ ทิวทัศน์ก็ยังคงเป็นเช่นเดิมมีเหล่าเขาหินทรายตั้งตระหง่านบ้างโดดเดี่ยวบ้าง เกาะกลุ่มบ้าง คิดว่าถ้าเป็นยามเช้าหน้าหนาวที่นี่คงสวยงามตระการตามากแน่ๆ เพราะหมอกขาวกับอากาศเย็นๆ คงทำให้ที่นี่เหมือนย้อนยุคไปสู่สมัยจอมยุทธ์เลย แต่บรรยากาศตอนนี้คือร้อนและอบอ้าวเหลือเกิน แถมคนก็มหาศาลคิดอย่างเดียวเมื่อไหร่จะถึงทางออก เดินกันไปอีกสัก 10 นาทีก็มาพบถนนและจุดขึ้นรถ

IMG_20160729_134544
First Bridge of the World
IMG_20160729_140341
สระที่มีเต่า
IMG_20160729_142057
หน้าตาคล้ายกันหมด
IMG_20160729_145045
นี่ก็ชื่ออะไรสักอย่าง

ออกจากจุดนั้น จากแผนที่ที่บอกเราว่า เราสามารถไปเดินลงได้ ให้เราไปตรงจุดที่มีลิฟท์ลงนั่นแหละ แล้วมันจะมีทางให้เดิน จึงต้องนั่งรถต่อกันไปเดินไปถึงจุดที่เค้าขายตั๋วลงลิฟท์พบว่าราคาลงลิฟท์เท่ากับราคากระเช้าเลย บ้าจริง นี่มันจะเอาทั้งขึ้นทั้งล่องจริงๆ เราถามถึงทางเดินที่จะใช้เดินลง เขาก็บอกว่าไม่มีหรอก ให้นั่งรถกลับออกไปก่อน ไปถามเอาข้างหน้า ถามไปถามมาก็มารู้ว่าทางลง มีก็คือเดินนู่นล่ะ 3-4 ชม. เอ่อ ก็จริงนะ เพราะนั่งกระเช้าขึ้นมามันก็สูงมากๆ ถ้าเป็นทางที่เดินลงได้มันก็คงพอๆ กับลงดอยสุเทพล่ะมั้ง ละตอนนั้นก็ 4 โมงเย็นแล้วเป็นอันยกเลิกความคิดที่จะเดิน

จากตรงที่เราอยู่ถ้าย้อนไปลงลิฟท์ก็ไกลอีก เลยต้องนั่งต่อไปลงกระเช้าอีกรอบ เสียตังค์อีก 284 หยวน หอยหลอดมาก เสียตังค์ไปเพื่อความสะพรึงกลัวถึงวันละ 2 รอบ บัตรผ่านที่ซื้อไว้ 3 วัน ถ้าต้องมาขึ้นๆ ลงๆ กระเช้านี่อีกวันละพันกว่าบาทคงไม่ไหว พรุ่งนี้จะมาอีกไหมเดี๋ยวค่อยว่ากัน

IMG_20160729_163233
ขาลงก็ลงกระเช้าอีก วันนี้สะพรึงถึงสองรอบ

กลับกันลงมารอรถสาย 2 ไม่มาสักทีเลยตัดสินใจเดินตากแดดกลับมาที่พัก วันนี้เราเจอคนไทยอีก 1 กลุ่ม เป็นอาม่าอายุ 74 กับหลานสาว 2 คน พูดคุยกันจับใจความได้ว่าหลานๆ มาเรียนหนังสือที่นี่ ช่วงนี้ปิดเทอมอาม่ามาเที่ยวหาเลยพาอาม่าเที่ยว พาเที่ยวมาแล้วหลายเมืองหลายวัน วันนี้มาอยู่ที่อู่หลิงหยวนละจะไปไหนต่ออีกหลายที่ ว่าแต่อาม่าจะเดินไหวไหมนั่น


IMG_20160729_172210
หน้าสถานีตำรวจอู่หลิงหยวนรอรถสาย 2 แต่ไม่มา

เราทานอาหารเย็นกันใต้โฮสเทลที่พักเลย ที่พักนี้ ตามกำแพงเขาอนุญาตให้เราเอาปากกงปากกามาเขียนอะไรได้ จึงมีข้อความรูปวาดจากหลายภาษาให้ดูเต็มเลยตั้งแต่ข้างล่างจนถึงข้างบนห้องพัก ภาษาไทยก็มีอยู่เยอะนะ

IMG_20160729_200810
กำแพงโฮสเทล
IMG_1796
อาหารท้องถิ่นที่นี่ชื่อ “เซี่ยซันกัว” Xia San Guo แต่ล่ะร้านรสชาติไม่เหมือนกันอีก

ค่ำวันนี้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปหาร้านที่มีดนตรีฟังริมแม่น้ำ จิบเบียร์เบาๆ กัน เดินๆ ไปร้านก็มีเยอะอยู่เหมือนกัน เราก็ไม่รู้จะเอาเกณฑ์ใดๆ มาตัดสินว่าควรเข้าร้านไหนเดินมาจนจะสุดทาง เจอป้ายร้าน “the Lost Bar” มีอาหมวยตัวเล็กมายืนเรียกแขก เราเลยตกลงว่าร้านนี้ละกัน ดูราคาเบียร์บนเมนูแล้วพบว่าแพงกว่าข้างนอกเกือบ 10 เท่า แต่เอาเถอะเข้ามาแล้วเห็นมีเครื่องดนตรีและไมโครโฟนวางอยู่ จึงเอ่ยถามว่าดนตรีสดจะมีเมื่อไหร่ น้องหมวยบอกว่าอีกแป๊บหนึ่ง เราก็โอเค สักพักก็มีพ่อหนุ่มแต่งตัวฮิปฮอปออกมาเล่นๆ ร้องเพลงจีน

สักพักน้องหมวยที่มาต้อนรับพร้อมเป็นเด็กเสิร์ฟก็เดินไปร้องเพลง โห..ทำหลายอย่างมาก เธอถามฉันว่าอยากแจมไหม ฉันบอกอยากเล่นนะ เธอเลยเดินไปถามน้องหมวยว่าที่นี่ขอเล่นดนตรีได้ไหม หมวยบอกได้แต่รอเจ้าของร้านไปก่อน  โอเค … สักพักพ่อหนุ่มก็เรียก “ไท่กั๋ว” ออกไปเล่นดนตรี

ฉันก็เล่นเพลงเดิมๆ ที่เคยเล่นทุกวันนั่นล่ะ แต่บรรยากาศมันไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกมันจึงใหม่

ทุกคนก็โอเคไปกับการเล่นและร้องของฉันเดินมาบอกว่าเอาอีกๆ สรุปเล่นไปร่วม 10 เพลง เล่นเพลงไทย เล่นเพลงของตัวเองไปด้วย ลงมานั่งคุย พ่อหนุ่มมานั่งคุยด้วย แนะนำตัวว่าชื่อ “หมินตี้” มาจากตาลี่ นิยมชมชอบกันไปกันมา หมินตี้ขอเลี้ยงเบียร์เราและเชิญว่าพรุ่งนี้ให้มาอีกนะ จะให้เจ้าของร้านมาดู แสดงว่าวันนี้ คงกลัวว่าฉันอาจจะเล่นห่วยไปจนเจ้าของร้านไม่พอใจสินะ รับปากไปว่าพรุ่งนี้เราจะมากันใหม่ คืนนี้ขอตัวกลับไปนอนก่อนนะ เป็นเหตุการณ์ดีๆ ที่ไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางที่เกิดขึ้นแล้วประทับใจ

IMG_1818
the Lost Bar
IMG_1809
หมินตี้และนักร้องสาวที่ทำหน้าที่หลายอย่าง

[wpgmza id=”48″]

Relate Posts :