สัพเพเหระกับหูเหล็ก “คุณกินของเน่า?”

 

แม้ไม่ใช่กระสือหรือกระหังที่ชอบเหาะเดินอากาศบินว่อนตระเวนหาของเน่ากิน แต่ผมว่าหลายๆคนคงทำตัวเหมือนผีสองประเภทนี้อยู่

เหมือนยังไง? เสียงลึกลับข้างหลังผมมันถามด้วยความสงสัยพร้อมขมวดคิ้ว

เหมือนตรงที่ชอบกินของเน่าไงครับ

ของเน่าความหมายตามพจนานุกรมฉบับคนหูเหล็ก หมายความว่า เสียและมีกลิ่นเหม็น เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอยกตัวอย่างกันพอลางๆ

ขี้ ขี้ และก็ขี้!

ถ้าเป็นเวอร์ชั่นสำเนียงฝรั่งก็ต้อง…Oh Shit!


แต่ถ้าเป็นผีสองประเภทข้างต้นก็คงจะร้องว่า “โอ้โห้ ขี้ก้อนนี้น่าหม่ำจัง” ฮ่าๆๆ

ก่อนจะเลยเถิดกันไปมากกว่านี้ จนจะพาท่านผู้อ่านติดไปกับรถสูบส้วม ว่าแล้วก็มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง

มีพระฝรั่งรูปหนึ่งไปอยู่กับท่านพุทธทาส ชอบจับผิดตามนิสัยฝรั่ง จับผิดว่าพระไทยกราบไม่สวยบ้าง นอนตื่นสายบ้าง ขี้เกียจบ้าง ไปเล่าให้ท่านพุทธทาสฟังทุกวันๆ

วันหนึ่งท่านพุทธทาสจึงคุยกับพระฝรั่งรูปนี้ว่า “คุณนี่ก็แปลกเนอะ อยู่ดีๆไม่ชอบ ชอบกินของเน่า”

พระฝรั่งยังไม่รู้  เนื่องด้วย ตัวอักษร ง.งู สองตัว วิ่งชนกันในสมอง ก็เกิดถามกลับว่า “หลวงพ่อครับของเน่าใน ความหมายของหลวงพ่อคืออะไรครับ”

หลวงพ่อก็เลยบอกว่า “ในวัดนี้มีทั้งพระดีและพระไม่ดี แต่ฉันเชื่อว่าพระที่ดีย่อมมีมากกว่า แต่ทำไมเธอมองไม่เห็นพระเหล่านั้น ทำไมเธอจึงมองเห็นแต่ความไม่ดี รู้ไหมการที่เธอมองเห็นแต่ด้านไม่ดีของคนอื่น จิตใจของเธอเป็นสุขหรือเป็นทุกข์”

“ทุกข์ครับ” พระฝรั่งตอบ


หลวงพ่อถาม “ร้อนหรือเย็น”

“ร้อนครับ” พระฝรั่งบอก

“นี่แหละเธอกำลังกินของเน่า”

สิ้นประโยคนี้ของท่านพุทธทาส ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพระรูปนี้สะเทือนใจมาก เลิกกินของเน่าเลย

ฉะนั้นอย่าใครอ่านแล้วรู้ตัวว่าตัวเองกำลังสวาปามของเน่าอยู่ ก็อย่าเอาเวลาไปเสียกับเรื่องแบบนี้เลยครับ คือไปชอบจับผิดคนอื่น มองหาข้อเสียคนอื่นอยู่ร่ำไป ไอ้ที่ดีๆมองไม่เคยเห็นหรอก

เมื่อบวกตามสันดานของมนุษย์ขี้เหม็น ที่ส่วนใหญ่เวลาจะวิจารณ์อะไร ข้อเสียมักจะโผล่แวบเข้ามาในหัวก่อนเลยทันที เฉลี่ยความเร็วอยู่ที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชนิดที่ว่าสามารถแหกโค้งชนเสาไฟฟ้าตายได้เลย แต่พอถามกลับถึงข้อดี สมองจะนับญาติกับเต่าขาเป๋ทันที คือ ช้าต้วมเตี้ยมอืดอาด

โลกนี้มีอะไรหลายอย่างดีๆที่มีให้ทานกันเยอะ อย่าไปเสียเวลาหาของเน่าของเสียมาทานกันเลยครับ เป็นห่วงสุขภาพใจ และหากเราเลือกมองแต่สิ่งดีๆเข้าไว้ในชีวิต จิตก็จะเป็นสุขครับ

(ขอขอบคุณเรื่องเล่าจากหนังสือ “สิ่งที่สูงกว่าเงิน” ครับ)

Relate Posts :