หยิกนิดสะกิดหน่อย.. 10 ข้อคิดสำหรับนักธุรกิจขายตรง

แหม่ๆๆ  วันนี้ป๋าขอจัดสักนิดเถอะ คันไม้ คันมือ คันปากยิบๆๆๆ อยากสะกิดแบบหยิกแกมหยอกให้กับนักธุรกิจเครือข่ายทั้งหลายเหลือเกิน  ด้วยว่าช่วงนี้(และที่ผ่านมา) เห็นพี่ๆ น้องๆ และผองเพื่อน โคจรเข้าสู่วงการนี้มากมายนับไม่ถ้วน   จะว่าไปมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของป๋าหรอกนะ แปลกันง่ายๆ จะว่า “สอใส่เกือก” ก็ได้  แต่ทุกครั้งที่ป๋าเปิด “facebook” มา  มันเจอภาพที่สะกิดต่อมซะเหลือเกิน   แถมบางรายถึงขั้นโทร.มาหาป๋า ชักจูงชักชวนต่างๆ นานา  แต่อยากบอกจังเลยว่า  “ชั่วโมงบินของหนูมันยังน้อยไปนะคะ”

ด้วยความเป็นนักคิด นักเขียน  เลยอยากจะเรียนเชิญน้องๆ เพื่อนๆ ทั้งหลายมาอ่านกันหน่อยเถอะ  ไม่ใช่ว่ารังเกียจเดียดฉันคนทำอาชีพนี้เลย  เพราะป๋าก็เคยผ่านมาหลายน้ำร้อนเลยล่ะกับอาชีพขายตรงที่ว่า  จะเอาตระกูลไหนว่ามา ทั้งประกัน ทั้งชุดชั้นในเรือนหมื่นเรือนแสน ทั้งโสม ทั้งเครื่องสำอาง ทั้งยาสีฟัน ผงซักฟอก ที่นำมาผ่านกระบวนการธุรกิจเครือข่าย ป๋าขายมาแล้วทั้งนั้น  แถมเคยได้รางวัลจากการขายมาแล้วมากมาย ขายจนได้ไปเมืองนอกก็เคยมาแล้ว จึงอยากบอกว่าไม่ได้มาเขียนเพื่อให้เลิกจากอาชีพ  แต่เป็นห่วงหลายคนที่คิดแบบผิดๆ  มันเลยไม่สำเร็จสักที  ลองเปิดใจอ่านกันหน่อยนะ

1.       ทำใจให้ได้ ว่ามันคือธุรกิจที่ต้องถูกปฏิเสธ  ข้อนี้เป็นข้อที่เบสิคสุดๆ และเชื่อเหลือเกินว่า หัวหน้า ผู้จัดการเขต ผู้จัดการฝ่าย หรืออัพไลน์ทั้งหลาย คงจะถ่ายทอดแนวคิดนี้ให้ฟังอย่างแน่นอน  ถ้าท่านยอมรับได้ก็เดินหน้าลุยต่อไป แต่ที่ป๋าเจอมา บางคนมันเล่น “ด่าลับหลัง” เวลาถูกลูกค้าปฏิเสธ ซะงั้น !!!  มีคนจำพวกนี้จริงๆ นะ  เพราะว่าหวังไว้มาก  กะว่าเพื่อนต้องช่วย เพื่อนต้องซื้อ  เพื่อนกูรวย สารพัดเหตุผลที่เข้าข้างตัวเองทั้งนั้น จนลืมวิเคราะห์ผู้มุ่งหวัง  สุดท้ายพอปิดการขายไม่ได้ ก็พาลซะดื้อๆ

2.       ให้คิดว่าเหรียญมีสองด้านเสมอ  ธุรกิจทุกอย่าง อาชีพทุกอาชีพ ย่อมมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป  ไม่ใช่ว่าดีทั้งหมด หรือว่าแย่ทั้งหมด   แต่เวลาท่านๆ ทั้งหลายไปประชุม ไปฟังวิชาการ  หรือไปฟังเขาพูดมา “เขาเล่าว่า”   ป๋าเห็นส่วนใหญ่  “เชื่อเขาหมด”  แบบคิดบวกๆๆ เข้าข้างตัวเองอีกแล้ว  ว่าถ้าฉันไม่เชื่อ ฉันจะไม่ประสบความสำเร็จตามที่เขาบอก … ถ้าฉันไม่เชื่อ ฉันคือคนที่มีทัศนคติลบ แล้วจะไม่ประสบความสำเร็จ      แต่….. เชื่อป๋าเถอะนะ ว่าถ้าเราจะประสบความสำเร็จ เราต้องรู้จักแยกแยะเป็น คิดวิเคราะห์เป็น อย่าหลงประเด็น    คนที่เขามาพูดหน้าห้อง พูดบนเวที แน่นอนล่ะ ว่าเขาต้องพูดโน้มน้าว ชักจูง   ไม่มีใครพูดในด้านเสียๆ หรอก   เมื่อเราฟังแล้วก็คิดสักนิด ตรองสักหน่อยว่ามันใช่หรือไม่ใช่มากน้อยเพียงใด  เผื่อใจไว้บ้าง   เพราะถ้ามันดีจริงแท้ร้อยเปอร์เซนต์  ธุรกิจที่เปิดกันมาเป็นสิบๆ ปี เขาคงยึดอาชีพนี้กันไปมากแล้ว  และไม่เหลือที่ให้เราเข้ามายืนจนวันนี้หรอก

3.       อย่าแชร์อะไรพร่ำเพรื่อ  ป๋าเตือนจริงๆ นะ  ที่บอกตอนแรกว่ามันสะกิดต่อม  ยิ่งการขายสมัยปัจจุบัน หลายท่านมักจะหลงและพยายามใช้โลกออนไลน์ให้เป็นประโยชน์เสียเหลือเกิน   แต่เวลาจะแชร์หรือจะบอกกล่าวอะไร  ให้คิดเสียก่อน  ไม่ใช่ว่ายิ่งแชร์เยอะ คนยิ่งเห็นเยอะแล้วเขาจะหันมาสนใจธุรกิจของเรา   ขอบอกว่าถ้าคิดแบบนี้ เท่ากับ “ท่านฆ่าตัวเอง”   เพราะคนที่เขาไม่ชอบก็มีเยอะ  แชร์บ่อยๆ เขาก็รำคาญ (ป๋าก็เป็น)  บางคนเขาไม่ “อิน” กับเราหรอก นอกจากคนในวงการเดียวกันเท่านั้นแหละ  เหมือนกับแชร์แล้วมานั่งชื่นชมกันเอง  ไม่ได้เกิดการขายหรือรายได้ขึ้นมาเลย    เพราะไม่ว่าท่านจะปั้นแต่งคำมาสวยหรูอย่างไร ทั้ง “ชักชวน ..ส่งมอบความสำเร็จ.. บอกต่อ .. ส่งต่อความรวย ..ส่งต่อความปรารถนาดี”  บลา..บลา..บลา   สุดท้ายแล้วมันก็คือ “การขาย” (หรือจะปฏิเสธ)   มันต้องมีการพูดคุย เผชิญหน้า อธิบาย  ใช้ความสนิทสนม  ใช้การเปิดใจ  ใช้เทคนิคกระบวนการต่างๆ นานา  มันคือการขายสินค้าและขายตัวเอง    อย่าหลอกตัวเองหรือคนอื่นๆ ด้วยคำสวยหรูเลย


4.       ธุรกิจที่ขายความงาม มันต้องงามจริง    .. ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเวปไซต์และเฟสบุ๊คอยู่ สำหรับหัวข้อนี้   เพราะ “ป๋าเก็บกด” มากกกก   อยากระบาย เวลาเห็นพี่ๆ เพื่อนๆ ทั้งหลายเอารูปตัวเอง เอารูปผู้มุ่งหวัง เอารูปลูกค้าที่ว่าสนใจผลิตภัณฑ์ หรือทดลองใช้ผลิตภัณฑ์แล้ว “รู้สึกว่าดี”   ขอใช้คำนี้  เพราะมันไม่มีเครื่องสำอางหรือเครื่องประทินผิวประทินร่างวิเศษที่ไหนหรอก ที่จะใช้แล้วเห็นผลทันที   .. ขนาดตายแล้วเกิดใหม่ยังต้องลุ้นไม่รู้ว่าจะสวยขึ้นหรือเปล่า แถมยังต้องรอนานเป็นชาติ    ฉะนั้นรูปที่นำมาโชว์ มันมีผลต่อการตัดสินใจ ทำไมพวกเสื้อผ้าแบรนด์ดังๆ ต้องใช้นางแบบงามๆ   ก็เพราะคนรู้สึกว่าถ้าได้ใส่แล้วจะงามเหมือนแบบ    แต่บางคนเอารูปตัวเองมาโชว์ แล้วบอกว่ามันช่วยเรื่องน้ำหนักได้จริงๆ นะ “ฟิตแอนด์เฟิร์มเลยเธอ”  โห แต่ตัวจริงยังสมบูรณ์ จ้ำม่ำ อุดมไปด้วยไขมันและเซลลูไลท์  แล้วบอกว่าใช้แล้วผอม   คงขายได้หรอก !!!!

5.       อย่าพูดว่ามาทำธุรกิจนี้แล้วจะ “รวย”   ในขณะที่ท่านๆ ทั้งหลายยังทำงานประจำกันงกๆๆๆ หมุนเงินแบบเดือนชนเดือน  มันไม่ได้เป็นตัวอย่างเอาซะเลย   ป๋าคนนึงล่ะที่ไม่เชื่อ    จริงอยู่ว่าธุรกิจเครือข่ายหรือขายตรงมันคือทางลัดในการสร้างรายได้อย่างมหาศาล  ตามีตามา ตาสีตาสา ที่เหล่าบรรดาท่านทั้งหลายชอบนำมายกตัวอย่าง ว่าเป็นใครก็สำเร็จ ก็รวยได้  อันนั้นป๋าไม่เถียง   แต่กว่าจะถึงขั้นนั้น ระดับนั้น เขาผ่านอะไรกันมาบ้าง บางทีเขาก็ไม่ได้บอกเราทั้งหมด   หรือบางทีท่านอาจจะหลงประเด็น  เพราะคนที่ท่านจะชวนทำธุรกิจ หลายคนไม่ได้สนเรื่องรวย  บางคนอาจจะอยากมีสังคม  บางคนอาจจะอยากดัง  บางคนแค่อยากมีอะไรทำให้ตัวเองไม่ว่าง   อย่าเอาเรื่องเงินมานำหน้าทั้งหมดมันไม่สำเร็จทุกรายหรอก   ป๋าเคยย้อนถามเพื่อนคนหนึ่งไปเหมือนกัน ถ้ารายได้มันแน่นอน มันรวย มันมั่นคง แล้วคุณมรึงทำไมไม่ลาออกจากงาน   เล่นเอามันอึ้งไปพักใหญ่  เพราะมันเอาจุดขายมาใช้ผิดประเด็น

6.       อย่าเป็นพวก “ดาวรุ่งพุ่งสู่เมรุ”  ประเภทที่ออกจากห้องประชุม สัมมนา วิชาการมาแล้ว  โอ๊ยยยย !!! ร่างฉันจะฉีกเป็นชิ้นๆ  ไฟลุกท่วมตัว  อยากประสบความสำเร็จเดี๋ยวนั้นทันที    ป๋าเห็นมานักต่อนักแล้ว  ออกจากห้องประชุม จะทำนั่นทำนี่  สุดท้ายได้ไม่เกิน 3 วัน  ออกจากอาชีพไปเลยก็มี   ทำอะไรให้มีความพอดีจะดีกว่า  ควรรู้จักที่จะบริหารเวลา บริหารอารมณ์ให้ดีพอ  ที่สำคัญอย่าบ้างาน บ้างพลัง จนลืมให้เวลากับครอบครัวและคนรอบข้าง

7.       จงเข้าใจว่าแต่ละคนมี “ต้นทุน” ไม่เท่ากัน    เวลาท่านไปฟังเพื่อนร่วมอาชีพ   รุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จ  หัวหน้าหรืออัพไลน์ของท่าน  ที่ประสบความสำเร็จแล้ว   ท่านจงชื่นชมเขา  แล้วเอาข้อดี เอาบางส่วนของเขามาใช้กับตัวท่าน  แต่อย่านั่งเพ้อฝันว่าท่านจะต้องเป็นแบบนั้นให้ได้  เขาปิดลูกค้ารายใหญ่ได้ก็จะเอาบ้าง  ทั้งที่ฐานตลาดท่านเป็นคนรายได้น้อย   บางคนเขามีพื้นฐานดีมาก่อน   ฐานสังคมดี  บางทีจะทำอะไรมันก็ง่ายกว่า โอกาสมากกว่า  แต่เขาไม่บอกท่านหมดหรอก  ใครจะมาบอกท่านว่า  “อ่อ รายนี้ที่ขายได้เพราะพ่อแม่ช่วยพูดให้” หรือ “รายนี้ขายได้เพราะเขาเกรงใจวงศ์ตระกูลของฉัน”   ในขณะที่ท่านเติบโตมาด้วยตัวเอง  ปากกัดตีนถีบ   แต่ดันคิดว่าจะทำแบบเขา มันเพ้อเจ้อนะ


8.       มอบความจริงใจ อย่าใช้คำพูดสวยหรู   เวลาท่านจะพูดจะชวนใคร  ป๋าแนะนำว่าท่านต้องวิเคราะห์ให้ดี ว่าเขาชอบ หรือไม่ชอบอะไร   อย่าเอา “บทพูด” หรือ “Sales Talk”  ไปใช้กับผู้มุ่งหวังบางจำพวก   ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าใครจะมาชวนป๋า  ป๋าบอกเลยว่า มาตรงๆ เลย ขายอะไร ผลประโยชน์อย่างไร  ไม่ต้องเอาหัวหน้ามา เพราะว่าป๋าไม่ได้รู้จักหัวหน้าเธอ ป๋ารู้จักเธอ   ที่สำคัญไม่ต้องมาพูดจาหว่านล้อม ชักแม่น้ำทั้งห้า  ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันไม่ซื้อ    หรือล่าสุดที่ป๋าเคยเจอ  น้องๆ เด็กจบใหม่ๆ เลย มาใช้คำพูดตามบท “เป๊ะเว่อร์”  ตามที่เขาสอนมา  มาพูดกับป๋า  ป๋าแนะนำไปว่า ไปทำการบ้านมาเยอะๆ หน่อยนะ ป๋าให้โอกาส  แต่อย่ามาแบบนี้ ฟังแล้วมัน “สตรอเบอรี่มากๆ”

9.       เปิดหูเปิดตา แล้วอย่าดูถูกอาชีพอื่นๆ   อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้น ป๋าไม่ได้รังเกียจอาชีพขายตรง  แต่ป๋าเคยเห็นพวกที่ไม่ลืมหูลืมตา  จนเรียกได้ว่าเป็นพวก “คลั่งลัทธิ”  ใครพูดอะไรฉันไม่ฟัง  ฉันมั่นใจธุรกิจของฉัน ฉันจะอยู่ในกะลาของฉันจนลืมออกไปมองโลกภายนอก  บางคนเป็นอย่างนั้นจริงๆ    แถมไม่พอ มีบางจำพวกชอบพูดดูถูกอาชีพอื่นๆ ว่ามีเกียรติไม่เท่าอาชีพฉันหรอก  รวยไม่ได้เท่าอาชีพฉันหรอก (ทั้งๆ ที่มันเองก็ยังไม่รวย)   และที่ได้ยินกันบ่อยๆ พวกนี้ชอบดูถูกและยกตัวอย่างคำว่า “มนุษย์เงินเดือน” บ่อยๆ จนชินหู  ว่าไม่มีความก้าวหน้าบ้างล่ะ  ไม่มีเวลาบ้างล่ะ  รายได้น้อยบ้างล่ะ  จนลืมมองความเป็นจริงว่า อาชีพใครอาชีพมัน  เพียงแต่เขามองไม่เห็นความสำคัญของอาชีพคุณ เหมือนที่คุณไปดูถูกอาชีพเขา ก็เท่านั้นล่ะ

10.       ธุรกิจมีผลประโยชน์แต่อย่าเอาผลประโยชน์นำหน้า   บางคนไม่พูดพร่ำทำเพลง ฉันจะขายลูกเดียว ป๋าเคยเห็นบ่อยๆ  ร้อยวันพันปีไม่เคยมาเยี่ยมมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเลย  พอมันมาทำอาชีพนี้ มันคิดถึงป๋าขึ้นมาทันที  มาแบบไม่เนียน  เอาผลประโยชน์มาก่อนเลย    ที่เขาบอกว่า เวลาขายประกัน หรือขายตรงให้เพื่อน มักจะเสียเพื่อน   ข้อนี้ป๋าทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย   ไอ้พวกที่ผลประโยชน์นำหน้านั่นแหละจะเสียเพื่อน  เพราะฉันจะขายลูกเดียว ไม่มีชั้นเชิง ลีลา ไม่เปิดใจ  ไม่แสดงความเป็นมิตรเลย    แต่หลายๆ คนฉลาดพอ รู้จักพูด รู้จักคุย จนเรารู้สึกว่าคุยกับเขาแล้วสบายใจ เขาเป็นเพื่อนเรา  แบบนี้มาเถอะ ถ้าช่วยได้ก็ช่วยเลย    ป๋าเคยซื้อประกันกับตัวแทนคนหนึ่งซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพียงแต่เพื่อนแนะนำมา  เขาพูดไม่ถึง 5 นาที ป๋าซื้อเลย    เพราะเขา “พูดในสิ่งที่ลูกค้าอยากฟัง”  ไม่ใช่ “พูดในสิ่งที่คนขายต้องการพูด”

ต้องขออภัย ถ้าบทความนี้จะไปแทงใจดำใครหลายๆ คน  แต่มันเป็นเรื่องจริงนะ  และกรุณาอ่านภาษาไทยให้เข้าใจและลึกซึ้ง ป๋าย้ำครั้งที่ 3 และครั้งสุดท้ายว่าที่เขียนมานี่มิได้รังเกียจอาชีพนี้แต่อย่างใด  ป๋าเคารพในอาชีพของทุกคน  เพียงแต่อยากสะท้อนมุมมองบ้าง  โดยเฉพาะเพื่อนๆ น้องๆ บางคน ที่ป๋ารู้สึกว่ามันกำลังจะ “กู่ไม่กลับ”  เพราะมองอะไรด้านเดียวเกินไป  เดินอยู่ในโลกของความฝันอย่างเดียว  แต่ลืมใช้ชีวิตบนโลกของความจริง    ถ้าใครชอบ ใครอ่านเพลิน ก็ช่วยๆ กันแชร์   จริงๆ เรื่องนี้นะ เอามาเขียนหนังสือได้เป็นเล่มเลยล่ะ   เขียนในบล็อกนี้เอาพอหอมปากหอมคอ    เดี๋ยวพวกอ่านไม่เข้าใจจะพาลมาดักตบป๋าด้วยเปลือกทุเรียนยุ่งเลย !!!  หวังดีจริงๆ เลยอยากเล่า อยากแชร์   ถ้าอ่านเข้าใจแล้วนำไปใช้ก็ขอให้นักขายทั้งหลายประสบความสำเร็จกันถ้วนทั่วนะจ๊ะ  บ๊ายบายยยยยย

 

Relate Posts :